วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

เข็มทิศชีวิต





ต้นไฟ

เคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่า มีแรงผลักพุ่งขึ้นมาในในเรา ผลัก ให้เราเดินไปโทรศัพท์หาเพื่อนเวลาเหงา ไปเปิดทีวีดู ออกไปข้างนอก เจ้าความรู้สึกโหยๆ กระวนกระวายลึกๆ ความเร่าร้อนเบาบางในใจที่มีอยู่ตลอดเวลานี้เองเป็นแรงผลักที่ทำให้เราพูด ทำ คิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

ตอน เราเป็นเด็กเล็กๆ แรงผลักในใจก็ดันให้เราหาขวดนม หาคนกอด หาตุ๊กตาหรือของเล่น เพื่อให้รู้สึกมั่นคงและอบอุ่น พอโตขึ้นแรงผลักเหล่านี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่รายละเอียดเปลี่ยนแปลงไปตามวัย

ของ เล่นอันเล็กอาจกลายเป้นรถยนต์คันสวย เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เราวิ่งหาเงิน สร้างบ้าน ซื้อรถ สะสมอำนาจเกียรติยศ ไขว่คว้าหาความรักและหาคนแวดล้อม ด้วยความหวังว่าใจเราจะอิ่มเต็มเมื่อได้สิ่งที่ถูกใจมาครอบครอง แต่ ความสุขทั้งหลาย ไม่เคยอยู่กับเราได้นาน มีความสุขอยู่ได้ไม่นาน ความทุกข์ ความขุ่นมัว ความเครียด กังวลใจ ความวุ่นวายต่างๆ ก็วกกลับมาอีก


ไม่ว่าจะหาอะไรๆ มามากมายสักเพียงไหน หลุมในใจทั้งหลายดูเหมือนจะไม่มีวันเต็ม เราไม่เคยอิ่ม จนกว่าเราจะสังเกตเห็นว่าต้นเหตุไฟที่ลุกไหม้ท่วมใจ มาจากไฟกองเล็กๆในใจเรานั่นเอง


เข็มทิศ

ลองสังเกตแรงผลักในใจของเรา ทันทีที่มีความคิดเกิดขึ้นว่ามันจะจูงเราไปทำอะไร เพื่ออะไร

ทุกวันนี้เราเห็นตำราของชาวตะวันตกมากมายที่สอนให้เรา be proactive บ้าง be in the present บ้าง หรือมี EQ บ้าง

ความหมายของสิ่งเหล่านี้ก็คือ ให้เรามีสติ ระลึกรู้สิ่งต่างๆที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีสติต่อทุกการรับสัมผัส มีช่องว่างที่จะใช้ตัดสินใจเลือกปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆเหล่านั้น ที่น่าเศร้าก็คือ หนังสือดีๆ เหล่านั้น ไม่เคยช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา

ข้อคิดดีๆ เป็นเพียงความรู้ที่จบอยู่แค่สมอง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราได้ เพราะมันเข้าไม่ถึงใจ จนกว่าเราจะยอมหยุด แล้วเริ่มต้นเข้าใจจิตใจตัวเอง
...

เกิดมาทำไม
ความ รู้แผนใหม่ที่เพิ่งค้นพบไม่กี่ปีมานี้เอง บอกว่ามนุษย์จำเป็นต้องฝึกเพิ่มพูนความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เพื่อดำรงตัวให้เหมาะสมงดงาม ในขณะที่ชาวพุทธรู้มากว่า 2500 ปีแล้วว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเอง


เราสามารถมี ความรู้สึกตัว มีสติ เลือกปฏิกิริยาในการตอบสนอง คิด พูด กระทำ ด้วยสติปัญญาที่สมบูรณ์ถึงพร้อมและเป็นอิสระจากภายนอก แตกต่างจากสัตว์ที่มมีปฏิกิริยาตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนเรายังมวแต่รอให้ฝรั่งเป็นผู้นำความรู้ดั้งเดิมของเรา มาบอกเราอีกครั้งเท่านั้นเอง


เรา ได้แต่ทำตามๆกันไป ทำอย่างรีบเร่งโดยไม่มีโอกาสหยุดคิด แข่งกันเรียน แข่งกันทำงาน แข่งกันหาเงิน พอมีเงินก็รีบแต่งงาน รีบมีลูกให้ทันใช้ แต่ไม่รีบแก่ รีบเจ็บป่วย หรือรีบตาย ไม่ทันฉุกคิดว่าเราต้องแก่ เจ็บป่วย และอีกไม่นานนับจากวันนี้ ก็จะไม่มีเราบนโลกนี้อีกต่อไป

แล้วชีวิต คนคนหนึ่งเร่งรีบเสียจนกระทั่ง ไม่มีโอกาสจะหยุดเพื่อถามตัวเองเลยหรือว่า ชีวิตนี้มีอะไรที่มากไปกว่าการหาเงิน การมีครอบครัว ทำชั่วบ้างดีบ้าง หัวเราะบ้างร้องไห้บ้าง มีสุขบ้างทุกข์บ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไป

การที่เรา วิ่งเป็นหนูถีบจักร เพียงเพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนทำกัน มันถูกต้องพอเพียง และเป็นเส้นทางที่จะพาเราไปสู่ความสุข ความสบายกาย ความสบายใจอย่างที่ใฝ่ฝันไขว่คว้าได้จริงหรือ

Half our life is spent trying to find something to do with the time we have rushed through life trying to save (Will Rogers)





เด็กอ้วนกินอุจจาระ

ครั้ง หนึ่งท่านชยสาโร พระภิกษุชาวอังกฤษ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติและเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท ได้เคยเล่าให้ฟังถึงภาพภาพหนึ่งว่า เป็นภาพของเด็กผู้ชายตัวอ้วนน่ารักกำลังทำท่าตักอาหาร และรัปประทานอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย หากแต่อาหารที่อยู่ในจานนั้น เป็นกองอุจจาระขนาดใหญ่ที่มีแมลงวันตอมอยู่เต็ม คำบรรยายใต้ภาพนั้นกล่าวว่า "แมลงวันหลายล้านตัวบนโลกนี้ จะหลงผิดทั้งหมดได้อย่างไร (ถ้าอุจจาระไม่อร่อยจริง) "

ความ จริงก็คือ การที่แมลงวันหรือคนมากมายทำตามๆกันไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอ ไป วินาทีนี้ลองหยุดทบทวนการดำเนินชีวิตของพวกเราดูเราแน่ใจแล้วหรือว่า การ ที่เราทำเหมือนคนอื่นทำกันนั้น จะทำให้ชีวิตถึงจุดมุ่งหมายมีความสุขได้อย่างที่เราใฝ่ฝัน เราจะหยุดพัฒนาตัวเองเพียงเพื่อให้หาเงินได้ เข้าสังคมได้ เป็นที่ยอมรับ ทั้งที่เรารู้ว่า ไม่ว่าจะทุ่มเทมากแค่ไหน ทุกอย่างในชีวิตสามารถผกผันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ภายในพริบตาเดียว ครอบครัว การงาน ทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่คนรัก อาจไม่อยู่กับเราดีๆ อย่างนี้ตลอดไป


ชีวิต เป็นของเรา เราควรมีโอกาสเลือกวิถีทางเดินชีวิตของเราด้วยความรู้สึกตัวอย่างเต็มเปี่ยม ให้มั่นใจว่าเราอยากทำอย่างนี้ และสิ่งที่เรากำลังทำนี้จะพาเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ

About the time one learns to make the most of life, most of it gone

Anonymous


...


ชีวิตไม่แน่นอน

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียนจบปริญญาโททั้งสาขาบริหารธุรกิจและสาขาเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในขณะที่เธอมีอายุเพียงยี่สิบปี ในวันนั้นเธอคิดว่า ความรู้ที่เธอเรียนมาทางโลก ความตั้งใจดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นคนทำงานที่ดี เพียงพอแล้วจะทำให้ชีวิตเธอมีความสุข

พออายุยี่สิบสองปี เธอสามารถซื้อรถเบนซ์ด้วยตัวของเธอเอง วันที่เธอขับรถคันใหม่ไปทำงาน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอหยุดแล้วถามตัวเองว่า วัตถุที่เราอยากได้นักอยากได้หนา คิดว่าเมือ่ได้มันมาแล้วจะทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง ทำไม ความสุข ความตื่นเต้น มันมีอยู่แค่ชั่วขณะเดียวแล้วจางหายไป แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นความสุขที่ยั่งยืนแท้จริงของมนุษย์

แต่ความสงสัยในขณะนั้นไม่มีกำลังพอที่จะให้เธอค้นหาคำตอบ เธอก็ยังดำเนินชีวิตในแบบเดิม และเริ่มทำธุรกิจของตัวเองเมื่ออายุยี่สิบห้าปี ในขณะที่เธอภาคภูมิใจในความสำเร็จ มั่นใจตัวเองที่สุด รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกอยู่ในกำมือ แล้วเธอก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสร้าง ที่เธอมีภายในพริบตา

จากคนที่เคยมั่นใจในตัวเองกลายเป็นคนที่รู้สึกล้มเหลว ไม่อยากพบหน้าผู้คน เธอหนีไปอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ที่ตจว

เวลาที่ตื่นนอนในตอนเช้าทุกวัน เธอไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงได้ ความรู้สึกเหมือนเลือดในตัวมันเหือดแห้งไปทุกหยด ใครจะมาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ก็ไม่เข้าใจ ก็เราทุกคนถูกสอนมาว่า ถ้าเราตั้งใจเรียน เราจะมีงานดีๆ ถ้าเราตั้งใจทำงาน ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่มีใครเคยบอกเราอย่างแท้จริงว่า ไม่ว่าเราจะทุ่มเทสักเพียงไหน ทุกอย่างในชีวิตมันก็ไม่แน่เสมอไป

เราทำได้แค่สร้างเหตุ เหมือนปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน ไล่แมลง แต่ปัจจัยที่จะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโต หรือตายไปมีมากมาย บางอย่างเราเลือกได้ บางอย่างเราก็เลี่ยงไม่ได้ ผลของมันจึงไม่แน่เสมอไป แล้วอะไรล่ะที่เป็นความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิตเรา

เหตุการณ์ข้างต้นเล่าให้ฟังว่า ชีวิตไม่มีความแน่นอน ที่เราคิดว่า เรามีความสุข มั่นคง ดูแลตัวเองได้ เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่า วันใดวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา กับสิ่งที่เรารัก

ตอนที่เรารับรู้เรื่องนี้ เราอาจรู้สึกสงสารบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าตัวละครในเรื่องนี้เปลี่ยนไปแค่คำเดียว จากคำว่า เขา เป็น เรา สามีเรา ลูกเรา บริษัทเรา เงินของเรา ใจเราคงไม่หยุดแค่สงสารบ้างเล็กน้อยแน่ๆ คำๆเดียว แต่มีกำลังมหาศาลที่จะสร้างความทุกข์ในใจเรา คือคำว่า ของเรา

ของของคนอื่นจะตาย ล้มละลาย สูญเสีย ไม่เป็นไร อย่าเป็นของเราก็แล้วกัน แต่ดิฉันไม่โชคดีเหมือนท่านผู้อ่าน เพราะคนที่ตายคนนั้นคือสามีของดิฉัน และเด็กคนนั้นเป็นลูกของดิฉันเอง

ขณะที่ดิฉันกำลังสับสนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับชีวิต มีผู้ใหญ่ท่านนึงมาที่งานศพมาถึงท่านก็เล่าว่า ในสมัยพุทธกาล มีแม่อยู่คนหนึ่งชือนางกีสาโคตมี ลูกของเธอเสียชีวิต เธอวิ่งขอร้องให้คนช่วยชุบชีวิตลูก จนมาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า

ถ้าท่านหาเมล็ดพันธุ์ฟักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายได้เราจะช่วยลูกท่าน

นางกีสาโคตมีก็วิ่งขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านต่างๆทุก บ้านก็ยินดีทีจะให้ แต่พอถามว่าในบ้านท่านเคยมีพ่อตาย แม่ตาย ตายายตาย ปู่ย่าตายาย ลูกหลานตายไหม ทุกบ้านก็ตอบว่า เคยมี ทุกบ้าน

ขณะที่ได้ฟังนั้น สติของดิฉันกลับมาอีกครั้ง คิดได้ว่าทุกคนในโลกนี้ต้องเคยเสียของ เสียคน เสียสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดมาแล้วในชีวิตทั้งนั้น เพียงแต่เวลาที่เป็นของ คนอื่นตาย คนอื่นเสียใจ เราไม่ทุกข์ เราจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเรามีความรู้สึกว่า
มันเป็นของเรา และอยากให้อยู่กับเราดีๆตลอดไป

ตอนนั้นมีผู้ใหญ่ หลายๆท่านบอกกับดิฉันว่า ถ้าไม่อยากล้มละลาย ไปหาเวลาอยู่กับตัวเอง ศึกษาตัวเอง ศึกษาธรรมชาติธรรมดาของชีวิตเราซะ

ดิฉันไม่เคยเข้าหลักสูตรภาวนาที่ไหนมาก่อน เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเรียนที่ตปท
ว่าเป็นที่นิยมกันมากทั้งในนักธุรกิจ นักวิชาการ คนทั่วไป ว่ามีประโยชน์
ต่อชีวิต แต่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยสนใจว่ามีลักษณะอย่างไร

....



ไม่มีอะไร อยู่ตลอดไป

ในขณะที่กำลังรู้ความปวดอยู่นั้น วินาทีที่ความปวดหายวับไป ดิฉันได้รู้ความรู้ที่มีค่าที่สุดว่า ทุกอย่างในชีวิตเรามีเวลาที่จะต้องดับไป เปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นชีวิตคนที่เรารัก ชีวิตของเราเอง หรือปัญหาอะไรๆ ก็ตาม

ก่อนหน้านี้เรามักจะรู้สึกว่า ปัญหาหรือความทุกข์อันนี้จะไม่มีวันจบ ไม่มีวันหายไปจากชีวิตเรา แต่เมื่อเราได้เห็นจะจะด้วยใจตัวเองแล้วว่า ขนาดความทุกข์ที่กำลังบีบคั้นเราอยู่แท้ๆ ตอนที่เราอยากให้มันไป มันก็ไม่ไป พอมันนึกจะหายไปมันก็หายไปอย่างสิ้นเชิง แล้วสิ่งที่เห็นนอกไปจากนั้นก็คือ สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ทรมาน ไม่ใช่อาการปวดตุ้บๆ บนขา แต่เป็นใจของเราที่อยากให้ความปวดขาหายไปเดี๋ยวนี้

ตัวหนี้สินไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์ ตอนเขาอนุมัติเงินให้กู้เรายังดีใจสุดๆ แต่ความอยากให้หนี้ อยากให้ปัญหาจบลงเดี๋ยวนี้ แล้วมันไม่เป็นอย่างใจเราต่างหาก ที่ทำให้เรามีทุกข์เสียนักหนา

สิ่งที่ธรรมชาติแสดงให้เราเห็นก็คือ ทุกอย่างมีขึ้นแล้วหายไป เปลี่ยนแปลง คงสภาพเดิมตลอดไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถบังคับให้ถูกใจเราตลอดเวลาได้ ธรรมชาติจะหมุนเวียนเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ เราจะเป็นทุกข์ก็ต่อเมื่อใจของเรายืดออกไปยึดว่า อันนี้ของเรา คนของเราต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เมื่อนั้นความทุกข์เกิดขึ้นทันที




ก้อนหนามในกำมือ

เคยสังเกตบ้างไหม เวลาที่เราเป็นทุกข์หนักหนา เรามักจะรู้สึกว่าทุกข์เหลือเกิน ไม่รู้จะหยุดทุกข์ได้ยังไง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหน เช่นโดนนินทา

ถ้าเปรียบใจเป็นมือ และความรู้สึกเป็นทุกข์เป็นก้อนหนามแหลมๆ ใจเราไม่รู้ก็กำก้อนหนามไว้เสียแน่น ยิ่งเจบ ยิ่งทุกข์ ไม่รู้จะช่วยตัวเองได้ยังไง พอเราได้ฝึกตามสังเกตจิตใจตัวเอง เราจะเห็นอาการที่ใจคอยกำความคิดเละความทุกข์ไว้แน่น

ทันทีที่เราเห็นว่าใจของเรากำลังกำก้อนหนาม กำมีดทิ่มแทงตัวเองอยู่ ขณะนั้นเองที่ใจจะสามารถวางความคิดวางมีดลงได้ชั่วขณะหนึ่ง

เรามักจะรู้สึกว่า เราสามารถวางความทุกข์ได้เพียงครู่เดียว แล้วมันก็กลับมาอีก เคยได้ยินเรื่องลิงเกลียดกระปิบ้างไหม

....



ลิงน้อยกับกะปิ

เวลาที่คนจะแกล้งลิงก็มักจะเอากะปิไปทาที่มือลิง เจ้าลิงเกลียดกะปิที่สุดในชีวิตก็จะเอามือมาสูดดม แล้วถูมือไปกับสิ่งต่างๆ จนเลือดไหลท่วมมือ ถามว่า สิ่งที่ทำให้ลิงบาดเจ็บจนเลือดไหลคือ กะปิ หรือความเกลียดกะปิในใจลิง

ลิงน้อยไม่เคยฝึกตามรู้จิตใจตนเอง มันจึงไม่รู้ว่า ตัวมันนั่นเองที่หยิบกะปิมาดมตลอดเวลา แล้วความเกลียด ความอยากผลักไสของมัน ก็ทำร้ายตัวเองอย่างแสนสาหัส เราอาจจะหัวเราะเยาะว่าลิงโง่ แต่เราทุกคนก็เคยเป็นเหมือนตัวดิฉัน เหมือนเจ้าลิงตัวน้อย ที่หยิบมีดมาแทงตัวเอง กำก้อนหนาม หยิบกะปิมาดม ทำร้ายตัวเองอยู่ทุกขณะโดยไม่รู้ตัว

แล้วมนุษย์อย่างเราจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนลิงที่จะ หยิบกะปิมาดม กำก้อนหนาม หรือหยิบมีดมาทิ่มแทงตัวเองตลอดเวลา โดยที่ไม่คิดจะช่วยตัวเองบ้างหรือ


.....

กายใจเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์

สิ่งที่ดิฉันได้ค้นพบก็คือ ก่อนหน้านี้เราคิดว่าเรามีสติรู้ตัว จริงๆแล้วเรารู้ไม่ทัน เราเหมือนคนที่กำลังจมลงไปในน้ำ ถลำลงไปในอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกที่ลากใจเราถูลู่ถูกัง ให้เราเจ็บปวดทุรนทุรายกับเรื่องต่าง ๆ แตกต่างกับขณะที่เรามีความรู้สึกตัว รู้ตัวอยู่เป็นกลางๆ เรารับรู้แต่ละประสบการณ์ โดยที่สิ่งนั้นๆ ไม่สามารถลากใจเราให้กระเพื่อมทุรนทุรายได้
เป็นประสบการณ์ที่แปลก ราวกับว่าเมื่อก่อนเราไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง เราอยู่แค่ในความคิดของเรา เราอยู่กับลูก เราก็คิดถึงเรื่องงาน คิดอดีต คิดอนาคต ใจเราแอบทำงานตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว เรารู้แค่ผลของมัน ผลที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยและหนัก

พอมาฝึกตัวเองใหม่ มาเรียนรู้การเดิน รับประทานอาหาร พูด อย่างรู้สึกตัวใหม่ๆ เราก็ต้องคอยสังเกตคอยชำเลืองดูจิตใจตัวเอง พอทำไปๆ จิตใจความรู้สึกของเรา มันปรากฏให้เราเห็นอย่างชัดเจน แล้วตัวเราเป็นเหมือนคนอีกคนที่ดูอยู่ มีสิทธิ์จะทำตามความคิดก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ความรู้สึกมันเหมือนคนที่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง เป็นอิสระจากความคิด ความรู้สึกของตัวเอง เหมือนกับเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในห้องทดลอง มีร่างกายและจิตใจของเราให้เราเฝ้าสังเกต แม้กระทั่งในขณะนี้ ถ้าคุณลองสังเกตุดูจะเห็นว่า ตัวเองส่งใจยึดมาดูที่ตัวหนังสือ อ่านแปลความหมาย หยุดคิดเป็นช่วงๆ แล้วบางขณะใจก็ลอยไปคิดเรื่องอื่น นึกขึ้นได้ก็กลับมาอ่านต่ออีก ความคิดของเรามากมายมหาศาลจริงๆ แต่เราไม่เคยรู้ทัน
ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เรามักจะพบว่าความคิดเราพาเราไปทำอะไรๆ ให้ต้องเสียใจมาแล้วหลายครั้ง เพราะเรารู้ไม่ทันความคิดของตัวเองนั่งเอง

ตอนนี้ เราลองมาฝึกเป็นเหมือนตำรวจตรวจจับผู้ร้ายกัน คิดอะไรก็รู้ทัน ตรวจดูว่าไม่เป็นโทษแล้วจึงปล่อยให้ทำ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเรานึกย้อนดูให้ดี เราจะเห็นว่า บ่อยมากที่เราปล่อยให้ตัวเองไหลไปในความรู้สึก โกรธ น้อยใจ อิจฉา หึงหวง อยากได้ ไม่อยากได้ หงุดหงิด รำคาญ เครียด กังวลใจ เรางับ งับ งับความคิด ทั้งๆ ที่เรารู้ดีว่า ความรู้สึกเหล่านี้ไม่เคยทำประโยชน์ให้กับใคร
สรุปก็คือ จิตใจเราทำงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งดี ทั้งร้าย เป็นภาระหนักทางใจที่เราแบกไว้ตลอดเวลา เราแบกของหนักไว้ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ตัว คิดจะวางก็วางไม่ได้ วางไม่เป็น บางคนอาจจะรู้เพียงว่า เราเหนื่อย หนัก เหมือนเด็กหลงทางที่อยากให้ชีวิตเป็นเหมือนแบบเรียนในโรงเรียนที่มีคำตอบที่ ถูกต้องเสมอ

ตลอดชีวิตที่ไม่รู้ความจริง เราแก้ปัญหาผิดที่ ผิดวิธี ชีวิตเราจึงยิ่งยุ่งเหยิง วุ่นวาย เพราะเราไม่รู้กฏธรรมชาติธรรมดาของชีวิต ไม่รู้แม้กระทั่งกระบวนการทำงาน ภายในจิตใจตัวเองว่า ความหงุดหงิด ความอิจฉา ความน้อยใจ ความรัก ความโกรธ เกิดขึ้นได้อย่างไร มีสภาพอย่างไร แล้วทำอย่างไรเราถึงจะมีชีวิตอยู่กับมันได้ โดยที่เราเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ไม่ต้องยอมจำนวนกับอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความทรงจำ ที่อะไรอยากจะผุดขึ้นมาเมื่อใหร่ ก็โผล่ขึ้นมาทั้งที่ใจไม่ต้องการ การรู้ความจริง รู้กฏของชีวิต ช่วยให้เราบริหารชีวิตจิตใจได้ตรงจุด เป็นการประกาศอิสรภาพของใจที่เคยตกเป็นเบี้ยล่างตลอดมา


ทุกอย่างในโลกนี้ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รัก-ไม่รัก รวย-จน สุข-ทุกข์
อยู่-ตาย แข็งแรง-เป็นโรคร้าย ดี-ไม่ดี ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นในใจเรา จนกว่าใจเราจะเคลื่อนไปเกาะไปยึด ว่าอันนี้ตัวเรา ของเรา ความคิดเรา และเราอยากให้มันเป็นอย่างใจเรา

อยากให้เขาไม่ตาย อยากให้บริษัทเจริญ อยากให้รักเราตลอดไป เมื่อนั้นทุกข์เกิดขึ้นทันที...หลวงพ่อชา สุภัทโท อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง เคยกล่าวไว้ว่า ไก่ก็เป็นไก่ เป็ดก็เป็นเป็ด เมื่อไหร่ที่เราอยากให้ไก่เป็นเป็ด ไก่มันก็เป็นไม่ได้ ใจเรามันอยากฝืนธรรมชาติ มันก็ทุกข์เท่านั้นเอง หรือไม้อันหนึ่งจะบอกว่า มันสั้นหรือยาว มันก็อยู่ที่ใจเราอีก

เราอยากได้ไม้ยาวๆ ไม้นี้ก็สั้นไป เราอยากได้ไม้สั้นๆ ไม้นี้ก็ยาวไปอีก ไม้มันก็เป็นไม้อยู่อย่างนั้น แต่ใจเรานี้แหละที่คอยไปยุ่งกับมัน



เข็มทิศ

ชีวิตเราเลือกให้มีแต่สิ่งที่เราพอใจไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกรู้ทันใจที่กำลังจะหยิบฉวยก้อนหนาม จัดการกับปัญหาด้วยใจที่ไม่ทุกข์ได้

เมื่อไหร่ที่คิดบังคับ เมื่อนั้นความไม่สบาย ความหนัก จะเกิดขึ้นกับใจเราทันที หน้าที่เดียวของเราก็คือ รู้เท่าทันใจที่ยืดไปยึด ไปอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างใจเรา ทันทีที่รู้ทันใจ ในวินาทีนั้น ใจจะมีอาการปล่อยวางหนึ่งขณะเป็นอย่างน้อย

วินาทีนั้นจะเกิดใจที่ว่าง โล่ง มีคุณภาพ รู้ว่าเราสามารถสร้างเหตุ ดูแล ปัจจัยสภาพแวดล้อมได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ผลจะเป็นอย่างไร เราเลือกไม่ได้ แต่เราสามารถฝึกใจให้คอยรู้ทันใจทุกขณะที่ยืดเข้าไปอยากอีก จนใจยอมเข้าใจหันมาตั้งใจที่การทำเหตุในแต่ละขณะให้ดีที่สุด

...

รู้ คือ เข็มทิศ
เราจะมีความรู้สึกตัวเป็นเข็มทิศคอยกำกับชีวิตได้ตลอดเวลา เพียงแต่เราจะต้องให้ โอกาศเข็มทิศ ให้โอกาสความรู้สึกตัวได้ทำงานเท่านั้นเองเราสามารถที่จะฝึกให้รู้ตัวเร็ว ที่สุด ทันทีที่ใจเราเริ่มไหลไปตามอารมณ์ ใจเริ่มมีการทำงาน คิดๆๆ ด้วยความรู้สึกตัวในขณะนั้น ถ้าเราเห็นใจกำลังกำมีด กำหนาม ดมกะปิ ในขณะที่รู้ก็สามารถวางความรู้สึก และความคิดนั้นๆ ลงได้ทันที

การรู้ทันใจตัวเอง เห็นทันใจที่กำลังปรุง คิด อยาก เป็นการเห็นที่ต้นเหตุของความทุกข์ และเป็นการดับทุกข์ ในขณะเดียวกัน ต้นเหตุของความทุกข์เกิดจากใจที่หลงออกไป ทันทีที่รู้ทัน ตัดตั้งแต่ต้นตอ วินาทีนั้น ใจไม่หลง มีแต่ความรู้สึกตัวเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

ด้วยความรู้จักธรรมชาติ ยอมรับตามความเป็นจริงของมันว่า อะไรๆ ก็ไม่คงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเลา ไม่สมารถบังคับให้เป็นอย่างใจได้เลย เมื่อใหร่ที่ความยึดถือในความคิด ความอยากของเราเบาบางลง ความทุกข์ก็น้อยลงตามลำดับ แล้วเราจะได้พบความจริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ไม่มีใครหรือเหตุการณ์อะไรสามารถกระชากใจให้ใจเราจมอยู่ในความทุกข์ได้ ความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ เราเผลอปล่อยใจให้ไหลไปโดยไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง
ในแต่ละขณะที่เราดำรงชีวิตอยู่ด้วยความระลึกรู้สึกตัวเต็มที่ เท่ากับว่าเราได้ทำหน้าที่ แต่ละขณะของเราอย่างดีที่สุด เป็นอิสระจากความกลัว ความอยาก ความไม่อยาก เราได้ทำปัจจุบัน และผลในอนาคตอย่างสมบูรณ์


...

รู้ทันความกลัว
บ่อยครั้งในชีวิตที่คนเราปล่อยตัวเองให้จมลงไปในวิถีชีวิตที่ไม่มีคุณภาพ ไม่เอื้อต่อการพัฒนาจิตใจของตนเอง ปล่อยตัวเองให้จมอยู่ในวิถีชีวิตที่เราไม่ต้องการ แต่เราไม่เข้มแข็งพอที่จะสลัดหลุดออกจากมันได้

บางคนเสพติดการช็อปปิ้ง เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า นาฬิกา ที่เราทนต่อแรงดึงดูดภายในไม่ไหว เพราะเราไม่มีโอกาสรู้ทันใจ ไม่ได้ให้โอกาสเข็มทิศชีวิตทำงาน จึงต้องมานั่งแก้ปัญหาหนี้สินที่ตามมาไม่รู้จบ บางคนทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ศรัทธา เพียงเพราะเรากลัว กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับ ความเปลี่ยนแปลง
โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เรามีความกลัวผุดขึ้นในใจเสมอ กลัวจน กลัวคนไม่ชอบ กลัวเขาไม่รัก ไม่อยู่กับเรา กลัวไม่สมดังใจ ความเครียดในใจของเรา เกิดจากใจที่กลัวว่าอนาคตจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง หรือคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว ว่ามันควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

การที่เราฝึกดูจิตใจตัวเอง คอยรู้สึกตัว รู้ทันความกลัว ใจของเราจะเกิดความรู้สึกมั่นคงสะสมขึ้นทีละขณะ ความกลัวเป็นความเผลอสติ เกิดจากใจที่หลงไป ถ้าเราเห็นความกลัวนั้นทัน ความกลัวก็จะหายวับไป ใจเราก็จะสงบ มั่นคง ตั้งมั่น อยู่กับขณะนั้น เราจะรู้จักความเป็นอิสระ รู้ประจักษ์ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ว่าเราสามารถมีความสุขได้จากภายใน โดยไม่ต้องอิงอาศัยคน อาศัยของ เป็นอิสรภาพทางจิตวิญญาณที่เราสามารถสัมผัสกับมันได้ทุกขณะ แม้ในขณะนี้ ทันทีที่ท่านผู้อ่านเห็นว่าใจไหลมาจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ ใจของเราจะเกิดความรู้สึกตัวเป็นปรกติ ธรรมดา มั่นคงก่อนที่จะเริ่มไหลใหม่ หลงใหม่ หลงอีกในขณะต่อๆ ไป แล้วเราก็จะเริ่มรู้สึกตัวใหม่อีก



...



หนีทุกข์ตลอดเวลา

หัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิตคือ การรู้จักที่จะหยุดฟังเข็มทิศภายใน ในชีวิตที่ทุกอย่างเป็นของสำเร็จรูป ตั้งแต่กาแฟ บะหมี่ ไปจนถึงวิธีดำเนินชีวิต วิธีประสบความสำเร็จ วิธีบอกรักใครสักคน สิ่งที่ได้มาอย่างง่ายๆ ลวกๆ ผลที่ได้ก็ ตื้นๆ คร่าวๆ ตามมา

ชีวิตเป็นสิ่งลึกซึ้ง อ่อนโยน สิ่งดีที่สุดใจเราโหยหาอยู่ตรงหน้าเราตลอดเวลา แต่เราไม่เคยสัมผัส ใจเราถูกห่อหุ้มปิดบังไว้ด้วยความวุ่นวายภายนอกและภายใน

การฝึกให้เราว่องไวต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เริ่มจากการที่ตามรู้จิตใจของเราให้ได้ทันกับการเกิดขึ้นแต่ละขณะ ต้องใช้การฝึก หลายคนมักจะบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าอึดอัด ที่ต้องมาตามรู้ร่างกายและจิตใจของตัวเอง สิ่งที่อยากจะบอกก็คือร่างกายและจิตใจนี่แหละ คือความจริงของชีวิต ตลอดเวลาเราหนีความจริงที่ว่าร่างกายและจิตใจของเราอยู่ในสภาพที่ถูกบีบคั้น เป็นทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด บังคับไม่ได้ ...
อยู่บ้านเบื่อก็ไปเที่ยว เที่ยวมากๆ เหนื่อย ทุกข์ ก็ต้องกลับมาพักที่บ้าน ...
ทำงานที่นี่เบื่อ ทุกข์ ก็เปลี่ยนงานใหม่ ....
อยู่กับแฟนคนนี้ เบื่อ ทุกข์ เปลี่ยนแฟนใหม่ ....
เราหนีอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งชีวิต โดยไม่มีโอกาสหยุดพิจารณาว่า สาเหตุใหญ่ของความทุกข์เริ่มที่ใจ แล้วเราก็หนีที่จะไม่เผชิญหน้ากับมัน แล้วหากเกิดมันเป็นเรื่องที่เราหนี ไม่ได้ เช่น ปัญหา ของคนในครอบครัวเรา ในชีวิตเรา หรือโรคร้ายที่เกิดกับตัวเราที่เราหนีไม่ได้ เราจะทำอย่างไร

การฝึกตามรู้ร่างกายและจิตใจ ทำให้เราสามารถอยู่กับสิ่งที่เป็นทุกข์ โดยที่ใจเราไม่ทุกข์ได้ เหมือนเป็นแค่คนเฝ้ารู้ เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เหมือนที่ดิฉันเล่าว่า ได้เห็นด้วยตัวเอง เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้นบนร่างกาย แต่ไม่สามารถลากใจเราให้กระเพื่อมทุรนทุรายตามไปได้



...

มีหาง ปวดหาง

มีครั้งหนึ่งในหลักสูตรที่เราทุกคนมีหน้าที่ตามรู้ ดูร่างกายและจิตใจตนเอง มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นไปบอกวิทยากรผู้ดูแลว่า "ผมคิดว่า ถ้าผมอยู่ต่อไป ผมคงเป็นอัมพาต หรืออัมพฤกษ์อย่างแน่นอน เพราะผมปวดหัว ปวดคอ ปวดหลัง ปวดเอง ปวดขา ปวดไปหมดทั้งตัว"

คุณยายอีกท่านหนึ่งก็รีบเสริมทันทีว่า "จริงคะ คุณยายแก่แล้ว เขาให้นั่งก้าอี้ นั่งยังไม่ถึง 5 นาที กระดูกกระเดี้ยวยายแทบจะหักเป็นท่อนๆ ทั้งที่ตอนอยู่บ้าน ยายนั่งเล่นไพ่สามวันสามคืน ลูกหลานต้องส่งน้ำส่งข้าวในวงไพ่ ยายยังสบายๆ "

วิทยาการหันหน้าไปทางชายคนแรกแล้วถามว่า " ปวดทั้งตัวเลยเหรอ แล้วปวดหางบ้างไหม" ชายคนนั้นตอบทันทีว่า "ไม่ปวด" วิทยากรจึงตอบว่า "เออดีนะ ที่ไม่มีหาง ไม่อย่างนั้นคงจะปวดหางเข้าไปด้วยอีกอย่างหนึ่ง"

ตอนแรกที่ได้ยิน ดิฉันขำเอามากๆ แต่ขำได้เพียงครู่เดียวก็ขำไม่ออก จริงของวิทยากร ถ้ามีหางก็คงทุกข์เรื่องหางเข้าไปด้วยอีกอย่าง มีร่างกายทุกข์เรื่องร่างกาย มีลูก มีครอบครัว ก็ทุกข์เรื่องลูก ครอบครัว มีงาน ก็ทุกข์เรื่องงาน มีหนี้ มีทรัพย์สิน มีญาติ ก็ทุกข์เรื่องหนี้ เรื่องทรัพย์สิน เรื่องญาติ ทุกอย่างที่เรามี เราเป็น เราทุกข์กับมันทั้งสิ้น

แล้วเราทำอย่างไร เราต้องไม่มีอะไรเลยหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องทุกข์ ไม่มีปัญหา แต่ความจริงก็คือ เรามีได้ทุกอย่าง เพียงแต่เมื่อใหร่ก็ตามที่ใจเราหลงอยาก หลงคิด อยากบังคับให้เป็นอย่างใจเรา เราก็แค่รู้ทันใจที่กำลังแอบไปสร้างภาระให้ตัวเอง สร้างเงื่อนไขไว้ให้เป็นปัญหาในอนาคต ทันทีที่รู้ ขณะนั้นใจที่เห็นตัวเองกำลังกำก้อนหนาม กำลังยึดอยู่ มันจะปล่อย จะวางเอง โดยที่ไม่ต้องรอให้หลวงพ่อวัดไหนมาบอกให้ปล่อยวาง เพราะเราทุกคนรักตัวเอง ห่วงตัวเอง ถ้าเราได้เห็น ได้รู้ทันว่า เรากำลังกำก้อนทุกข์ กำลังกำของร้อนอยู่ เราจะปล่อยเองโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องห่วงเลยว่า เราจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี นักวิ่งที่แบกของหนัก แบกภาระเงื่อนไข เป็นลูกตุ้มผูกขาเต็มตัวไปหมด จะสู้นักวิ่งตัวเบาไม่แบกอะไรได้อย่างไร

....

หนอนในกองอึ
ทุกวันนี้ เราคิดว่าเรารู้ทุกอย่าง เราคิดว่าเราดี มีความสุขอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเรา เหมือนหมูที่กิเลสเลี้ยงเอาไว้เชือด ให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ มาล่อ พอติดใจก็เหมือนปลาเบ็ด ที่ถูกความทุกข์เกี่ยวจนปวดแสบปวดร้อนที่ใจ หาทางออกไม่ได้ เหมือนที่ครูบาอาจารย์วัดป่าท่านมักจะเปรียบว่าเราเป็นเหมือนพวก "หนอนในกองอึ" (ท่านใช้คำแบบนี้จริงๆ) สมมุติว่ามีกองอึกองอยู่ตรงหน้าเรา 1 กอง แล้วมีหนอนอยู่ในนั้น ทั้งเน่าทั้งเหม็น เราอยากจะช่วยหนอน หยิบหนอนออกมาวางไว้นอกกองอึ คุณคิดว่าหนอนจะทำยังไง แน่นอน หนอนจะคลานกลับเข้ากองอึไปทันที

เหมือนทุกครั้งในชีวิต ที่เรามีโอกาสช่วยตัวเองให้หลุดจากวิถีชีวิตที่ทำร้ายเรา สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ให้เรา แต่แล้วเราก็ยอมกลับไปอยู่กับสิ่งเดิมๆ ที่เราชิน ทั้งๆ ที่รู้ที่เห็นว่ามันเหม็นแค่ไหน

เพียงแค่เราเข้มแข็งสักนิด ยอมฝึกฝนตัวเองสักหน่อย ไม่มีอะไรในชีวิตที่ได้มาง่าย ปริญญาทางโลก เราใช้เวลาเกือบยี่สิบปี ปริญญาทางจิตใจที่มีความสำคัญที่สุด เรากลับไม่มีเวลาให้ ไม่เคยมีเวลาศึกษา กลับทุ่มเทให้คนอื่น ของอื่นทั้งชีวิต ไม่มีเวลาแม้เพียง 3 วัน 7 วัน เพื่อเริ่มต้นฝึกให้เข้าใจรู้จักตนเองอย่างแท้จริง



....


ตัวปัญหาที่แท้จริง คือ กายกับใจ

เมื่อก่อนดิฉันเคยนึกว่าสิ่งต่างๆ นอกตัว งาน เงิน คน สร้างปัญหาให้เรามากมาย แต่เมื่อเราศึกษากลับมาที่ตัวเอง เราจะเห็นเลยว่า สิ่งที่ทำให้เรายุ่งยากมากมายไม่ใช่ของข้างนอกเลย แต่เป็นตัวเรา ร่างกาย และจิตใจของเราต่างหาก

ร่างกายของเราดูแลอย่างดีแค่ไหน เดี๋ยวก็ปวด หิว ขับถ่าย เมื่อย เหี่ยว ป่วย เมื่อเราได้เห็นได้เข้าใจร่างกายของเราว่า มันมีสภาพเน่าเหม็น เสื่อมโทรม เดี๋ยวหิว เดี๋ยวปวดเมื่อย ต้องขับถ่ายอยู่ตลอดเวลา ใจเราก็จะคลายความรักในร่างกายนี้ลง มันจะเหี่ยวไปบ้าง เจ็บป่วยไม่สบาย หรือแม้ยามจะตาย หากยังประคับประคองจิตใจไว้ได้ ตัวเองก็ไม่รู้ทุรนทุรายเดือดร้อน คนรอบตัวก็จะได้ เดือดร้อนน้อยลงไปด้วย

จิตใจเรายิ่งแล้วใหญ่ ไม่ว่าจะอยู่สุขสบายอย่างไร ก็ยังหาเรื่องให้เราต้องทำโน่นทำนี่ สนองตามความคิดจนเราต้องทุกข์ยากลำบาก ก็ยังไม่เคยหยุดคิด หยุดอยาก ปรุงแต่ง ไม่เคยหยุด ไม่เคยพอ

แต่เมื่อเราได้ฝึกการตามรู้จิตใจตัวเองดีแล้ว สิ่งที่เราจะต่างกับตอนที่เรายังไม่ได้ฝึกก็คือ ตอนที่เรายังไม่ฝึก ใจของคนทั่วๆ ไปก็จะปรุง-คิด-ทุกข์ แต่ใจที่ฝึกดีแล้ว จะเป็น ปรุง-คิด-รู้ จบไป ตัดกระแส หยุดความทุกข์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่มันเริ่มคิด เพื่อให้เราสามารถทำหน้าที่ใด้ด้วยใจที่ปลอดโปร่ง เพราะชีวิตคนเรา เราอาจเลือกไม่ได้ให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตเรา แต่เราสามรถเลือกที่จะทำ

.....



รั้วกั้นใจ

เคยบ้างไหม ที่อยู่ดีๆ ใจเกิดอยากกินบะหมี่เจ้านั้น หรือ ส้มตำเจ้านี้ ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน เราก็ดั้นด้นไปหามารับประทานตามที่ใจอยากกันจนได้ ในชีวิตเราๆ ถูกกิเลสพาให้เราวิ่ง ๆ ๆ อย่างนี้ตลอดทั้งชีวิต แค่คิดอะไรขึ้นมาก็ต้องทำตามนั้น โดยที่ไม่ทันได้พิจารณาว่าเหมาะควรดีหรือไม่
แล้วถ้ามันไม่ใช่แค่เรื่องบะหมี่ชามเดียว หรือ ส้มตำจานเดียว แต่เป็นคนรัก ของรักของคนอื่น เงินทอง ข้าวของ ความร่ำรวยของคนอื่นล่ะ ถ้าเราไม่เฝ้าตามดูใจตัวเอง เมื่อเราเกิดอยากได้ แล้วทำตามที่เราอยาก เราก็อาจจะต้องไปแย่งแฟน หรือคนรักของคนอื่น หรือต้องไปเสี่ยง ไปโกงเขามา เพื่อให้มีอย่างที่อยากได้ หรืออยากเป็น โดนแค่อ้างกับตัวเองว่า ก็ทำไงได้มันรักไปแล้ว หรือเราก็มีสิทธิ์อยากได้ อยากมี อยากเป็น เหมือนคนอื่นเหมือนกัน
หมาหรือแมวที่เอามาเลี้ยงไว้ เรายังต้องฝึกให้ถ่ายเป็นที่เป็นทาง ฝึกให้ทำตัวดีๆ คนที่เริ่มงานก็ต้องฝึกงาน แต่ใจที่เราใช้อยู่ทุกวันไม่เคยถูกฝึก เราปล่อยใจเหมือนลูกหมาไม่มีเจ้าของ อยากทำอะไรก็ทำ แต่เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นมา ก็จนปัญญาจะช่วยเหลือตัวเองได้

ชีวิตเรา รถยังไงต้องมีเบรก บ้านยังต้องมีรั้ว ใจทั้งใจเราไม่คิดติดเบรก กั้นรั้ว ให้ใจเราบ้างเลยหรือ การที่เราหมั่นสังเกตจิตใจตัวเอง เป็นการกั้นรั้ว ติดเบรกให้ใจตัวเองอย่างดีที่สุด

เรามักจะใช้ ตา หู จมูก ลิ้น ร่างกาย จิตใจในการหาเงิน เสพสุขจากสิ่งต่างๆ เพื่อให้ความเพลิดเพลินแก่ตัวเอง ในขณะที่ใช้ความรู้ที่เราเรียนมาหาเงิน หาของ หาวัตถุ หาใส่ตัวให้ได้มากที่สุด แต่มีบางสิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เราไม่เคยเรียน ที่ทำให้การหาของเรา การเสพของเรา ไม่เคยพาเราไปสู่จุดหมายที่เป็นสุขอย่างยั่งยืน

....


แก้วที่ไม่เคยพอ


เรามักถูกสอนให้มองด้านดีว่า แก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วนั้น มีน้ำเหลือตั้งครึ่งแก้ว มากกว่าที่จะมองว่าน้ำหายไปครึ่งแก้ว แต่จะมองด้านไหนก็ตาม ก็ทำให้เราคิดว่า แก้วยังขาด พร่อง ยังต้องหาน้ำมาเติมให้เต็ม

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราจะรู้สึกว่า เรายังมีไม่พอ ต้องมีนั่น มีนี่เสียก่อน แล้วเราจะอิ่มจะเต็ม สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยถูกสอนก็คือ ไม่ว่าเราจะพัฒนาความสามารถในการหาเงิน หาของ หาความรักให้ได้มากสักเท่าใหร่ก็ตาม น้ำในแก้วไม่มีวันเต็ม เพราะความอยากในใจเราไม่เคยหยุด แก้วของเราก็จะโตขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เคยพอ

เมื่อก่อนที่เราเคยคิดว่า ถ้าเรามีเงินล้าน เราจะมีความสุข พอเรามีเข้าจริงๆ ปริมาณความต้องการ มาตรฐานการครองชีพ ความเป็นอยู่ของเราก็โตรุดหน้าไป จนเราต้องหาเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งอย่าว่าแต่คนมีเงินสิบล้าน ร้อยล้านเลย ขนาดคนที่มีเงินเป็นหมื่นล้าน ยังหาเงินอย่างไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ เมื่อก่อนเราคือกระเป๋าใบละพันก็เก๋แล้ว เดี๋ยวนี้กระเป๋าผู้หญิงใบละ 7 - 8 แสน หรือถึงล้านก็ถือกันเกลื่อน คนที่เรารักหนักหนา ยากลำบากกว่าจะได้มา พออยู่กันไปนานๆ ใจเราก็เรียกร้องขึ้น ๆ เห็นจุดอ่อนข้อบกพร่อง ไม่อิ่ม ไม่เต็มได้ตลอดเวลา แก้วน้ำหรือความอยากในใจเราไม่เคยหยุดโต หาเท่าใหร่ไม่เคยเต็ม

เคล็ดลับความสุขก็คือ เราสามารถที่จะพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะหาเงิน หาความรัก เหมือนหาน้ำมาใส่แก้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับขนาดของแก้วให้พอดีกับน้ำ ให้ใจเราสามารถที่จะมีความสุขสงบพอใจกับขณะนี้ เดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องรออนาคต

ถ้าเรามีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แต่เราสามารถลดขนาดของแก้วน้ำลงจนเหลือเพียง 1 ใน 4 น้ำที่มีครึ่งแก้ว ก็จะล้นเกินอยู่อีกเท่าตัว มีเกินพอสำหรับเรา และพอที่จะแบ่งให้คนอื่น เมื่อเราเต็ม เราก็ไม่ต้องไปวิ่งหาน้ำมาเติมอีก มีเวลาเหลือเฟือให้ลูก ให้คนที่เรารัก ให้กับการพัฒนาจิตใจตัวเอง ให้กับสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเราอย่างแท้จริง

เข็มทิศ

การลดขนาดของแก้วก็คือ การที่เราหมั่นตามรู้ ตามดูจิตใจ ความรู้สึก ความคิดของเรา แต่ละขณะที่เรารู้ทันใจเราที่อยากได้ อยากให้คนอื่นคิดให้ถูกใจเรา ทุกขณะที่เรารู้ทัน ความอยากทำงานไม่ได้ เราก็ได้ลดขนาดของแก้วลงทุกขณะที่เรามีความรู้สึกตัว ชีวิตเราก็จะเป็นแก้วที่อิ่มเต็มพอดี พอเพียงมีความสุขมั่นคง


...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น