วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

คำสอน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

กรรมที่นำไปสู่นรก

จาก หนังสือ ไตรภูมิ

ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้อาตมามีโอกาสพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ

สำหรับ ต่อไปนี้จะเห็นว่าเป็นการสิ้นปีสำหรับพุทธศักราช คือว่าพุทธศักราชนี้เขาเริ่มเลิกกันกลางเดือนหก เปลี่ยนเป็นระบบใหม่ เรียกว่าขึ้นปีใหม่สำหรับพุทธศาสนา แต่ทว่า พ.ศ. ที่เขาใช้กันนั้นจะเปลี่ยนเดือนมกราคมหรือว่าเมษายนก็ตาม เป็นเรื่องของบ้านเมือง แต่ว่าสำหรับเรื่องของพระพุทธศาสนานั้นก็มาเปลี่ยนกันกลางเดือนหก เพราะเป็นเขต เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน ฉะนั้น เมื่อศักราชเปลี่ยนไปใหม่ถึงปีใหม่ก็ชื่อว่า เป็นการขึ้นถึงปีใหม่ของพระพุทธศาสนา ฉะนั้น บรรดาเรื่องราวของหลวงพ่อปาน ที่อาตมาได้พูดมากับพุทธบริษัทในตอนต้นๆ หรือตอนก่อนมาแล้ว ก็เป็นอันว่าระงับไป ความจริงเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นยังไม่จบ ถ้าจะพูดกันให้จบอีกสามปีก็ไม่จบ คราวนี้ถ้าหากบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบว่าไปขมวดจบกันตอนไหน อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าอยากจะทราบ โปรดหาหนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาอ่าน ซึ่งอาตมาได้เล่าจากการบันทึกและที่บันทึกตุนเข้าไว้ จัดพิมพ์ขึ้น โดยคุณอรอนงค์ คุณเกษม เป็นเจ้ามือใหญ่ แล้วก็สิบตำรวจพัว ชระเอม จังหวัดสิงห์บุรี ตำบลบางพุทรา อยู่ใกล้ตลาดสิงห์บุรีเป็นผู้ให้ทุนเริ่มต้น แล้วก็คุณสุวัฒน์อีกคนหนึ่ง ลืมนามสกุล ให้ทุนเริ่มต้น ทั้งสองท่านนี้ให้ทุนท่านละ ๔,๐๐๐ บาท หนังสือนี้พิมพ์ ๓,๐๐๐ เล่ม รวมเงินแล้ว ๖๐,๐๐๐ บาท ฉะนั้น หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบความเป็นมาของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอให้ติดต่อที่สิบตำรวจพัว ชระเอม ตำบลบางพุทรา จังหวัดสิงห์บุรีอยู่ใกล้ๆกับจังหวัด อาตมาเองก็ไม่รู้จักบ้านเหมือนกัน ที่บ้านท่านมี แล้วก็ที่อาตมาก็มีอยู่บ้าง แล้วก็ที่คุณสุวัฒน์ เวลานี้ทราบว่าไปเป็นป่าไม้อยู่จังหวัดเชียงใหม่ รายนี้ก็มีอยู่ ๒๕๐ เล่ม ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพผู้ออกเงิน เป็นอันว่าเรื่องราวของหลวงพ่อปาน วันบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็ต้องระงับลงเพียงเท่านี้
ต่อจากนี้ไป ก็มาเริ่มเรื่องกันใหม่ เริ่มอะไรดี ยังนึกไม่ออก

เอา ยังงี้ก็แล้วกันนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย คือว่าเราพูดกันถึงเหตุมานานแล้ว การที่นำเอาเรื่องราวของหลวงพ่อปานและคณะศิษยานุศิษย์ก็ดี หรือว่าพระรุ่นท่าน พระเพื่อนท่านก็ตาม เอามาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง อันนี้เป็นเหตุ เหตุที่บอกก็บอกว่าถ้าใครทำความดีแบบนั้น ใครทำความชั่วแบบนั้น จะไปสู่อบายภูมิหรือว่าไปสู่สวรรค์ ไปสู่พรหมไปสู่พระนิพพาน นี่เรียกว่าเราเล่าต้นทาง แล้วก็พาดพิงไปถึงปลายทางว่า ถ้าทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรกหรือว่าไปสวรรค์ ไปพรหมโลกหรือไปนิพพาน ตอนต้นเรากล่าวกันอย่างนั้น

คราวนี้ มาว่ากันถึงผล

ต่อจากนี้ไปจะขอให้เรื่องที่พูดนี้ เรียกกันว่าเรื่อง "ไตรภูมิ"

ไตรภูมิ แปลว่า ภูมิสาม ภูมิก็แปลว่าแผ่นดินหรือสถานที่อยู่ เป็นสถานที่ที่อยู่กัน เราเรียกกันว่าภูมิ สำหรับภูมิในที่นี้ จะกล่าวถึงอบายภูมิ แล้วก็สวรรค์ พรหมโลก ดีไม่ดีก็จะย่องพูดถึงเรื่องนิพพานสักนิดหนึ่ง เพราะกันตัวอาตมาเองเป็นมิจฉาทิฐิ สำหรับคนอื่นไม่เกี่ยว อาตมาน่ะเป็นห่วงตัวเอง ห่วงความเป็นมิจฉาทิฐิของตัวเอง ที่เทศน์ว่าพระนิพพานสูญมานาน ใครเขาจะถามถึงพระนิพพานก็บอกเลย บอกว่าพระนิพพานนี่มีสภาพสูญ มีอุปมาดุจหนึ่งว่าควันไฟที่ลอยไปในอากาศ จะมีที่เกาะที่พักมันก็ไม่มีฉันใด แม้พระที่เข้าสู่พระนิพพานก็เหมือนกัน มีสภาพเหมือนควันไฟ นี่ไปค้านกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้า เพราะว่าไปค้นในพระไตรปิฎก ไปพบเอาตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานท้าวผกาพรหม ที่ท้าวผกาพรหมท่านบอกว่าพรหมทั้งนั้นแหละเป็นความสุขสูงสุด และพรหมไม่เป็นอนัตตา พรหมเป็นอัตตาไม่มีการสลายตัว ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาศัยพวกระฆังเล็กๆทั้งหลายสนับสนุนยุยงส่งเสริม เห็นว่าท่านผกาพรหมเป็นพรหมที่มีวาสนาบารมีมากก็เลยยุท่านส่งเดชเข้าให้ ท่านผกาพรหมก็เมามัน ไอ้เสียงคนนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท กรอกหูนานๆมันอดจะเขวไม่ได้หรอกเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้ในเมื่อท่านผกาพรหมท่านเมาเข้าแล้วท่านก็เลยคิดว่าในเมื่อพรหมเป็นอมตะ เป็นแดนไม่ตาย เป็นแดนที่มีความสุขมากที่สุด เวลานี้พระสมณโคดมออกจากตระกูลศากยราชมาบวชแล้ว ก็ประกาศว่าสิ่งที่สูงสุดยิ่งกว่านั้นมีอยู่ คือพระนิพพาน ยิ่งกว่าพรหม สูงกว่าพรหม มีพระนิพพานเป็นที่ไป แล้วก็เป็นแดนสูงสุด มันจะจริงหรือไม่จริงเราไม่เชื่อ เมื่อพระพุทธเจ้าทราบวาระน้ำจิตของท่านผกาพรหม ก็เสด็จไปสู่พรหมท้าทายกันด้วยเรื่องฤทธิ์ต่างๆเพื่อเป็นการทรมาน ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็บอกว่า หากว่าท่านเก่งจริงละก้อ เล่นซ่อนหากับเรา พระพุทธเจ้าให้ท้าวผกาพรหมซ่อนก่อน จะซ่อนที่ไหนก็ตามพระพุทธเจ้าก็มองเห็น ในที่สุดหมดท่า ก็ให้พระพุทธเจ้าซ่อนบ้าง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ซ่อน ท่านประทับนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วก็ทำให้ท้าวผกาพรหมไม่เห็น พระองค์ก็ทรงแสดงเสียงให้ปรากฏ ท้าวผกาพรหมก็มองไม่เห็นว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ตรงไหน เป็นอันว่าท้าวผกาพรหมยอมแพ้พระพุทธเจ้า ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผกาพรหมเธอเป็นมิจฉาทิฐิเพราะคำป้อยอของคนอื่น บรรดามารทั้งหลาย คำว่ามารในที่นี้ไม่ได้แปลว่ายักษ์ มารแปลว่า ผู้ฆ่า คือความเห็นที่ไม่ถูกทางของบุคคลผู้ยุยงส่งเสริม พยายามเกลี้ยกล่อมชักจูงเธอให้เห็นผิด เธอเกิดเป็นพรหมมาหลายรอบหลายจังหวะ เกิดเป็นพรหมชั้นสูงแล้วมาเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำ แล้วก็ต่ำลงมา อาศัยที่เธอบำเพ็ญบารมีมามาก ไปเป็นพรหมเสียหลายร้อยกัปหลายพันกัป จึงลืมสภาวะเดิม ลืมเรื่องของการจุติ การเกิดการตายในแดนที่ไม่ใช่พระนิพพาน ต่อจากนี้ไป เธอจงเป็นผู้เห็นถูก ในที่สุดท้าวผกาพรหมก็ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า ดินแดนที่มีสุขยิ่งกว่านี้มีอยู่นั่นคือพระนิพพาน

เห็นไหมเล่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันพระนิพพานว่าเป็นดินแดนพิเศษ เป็นทิพย์พิเศษ สูงยิ่งกว่าพรหม คราวนี้เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องพระนิพพานนี่ ถ้าเรายังไม่เห็น เราก็อย่าพึ่งรับรองกันนักว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ถ้าใครเขาถามขึ้นก็บอกว่าพูดตามตำราไว้ก่อน ต่อมาเมื่อเราเข้าถึงทิพจักขุญาณแล้ว ก็สามารถเจริญวิปัสสนาญาณถึงระดับพอที่จะเห็นพระนิพพานได้ ตอนนั้นเราค่อยพูดกันเรื่องพระนิพพาน จะพูดกันได้ตอนไหน ก็ตอนที่ท่านทั้งหลายเจริญสมถะพอสมควรจนได้ทิพจักขุญาณแล้ว แล้วก็เจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ โคตรภูรู้จักไหม? ถ้าไม่รู้จักก็จะบอกว่า อยู่ระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตตรชน จะเป็นพระโสดาบัน (อาการจะเป็นยังไง ไม่ใช่มานั่งสอนพระกรรมฐาน, ไม่บอก) ตอนนั้นแหละท่านทั้งหลายจะอาศัยทิพจักขุญาณเห็นพระนิพพานได้แบบสบายๆ ตอนนั้นแหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เราพูดกันถึงเรื่องพระนิพพาน เวลานี้ท่านเห็นเปรตบ้างไหม เปรตมีสภาพหยาบที่สุด ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถเห็นเปรตก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องของพระนิพพาน ถ้าพูดแล้วมันผิด ทีนี้เรื่องของพระกรรมฐานนี่นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีหลวงพี่องค์หนึ่งท่านสอนมาทางอากาศว่าอย่าเที่ยวนำพูดเพ้อเจ้อไปนะ เรื่องกรรมฐานนี่ ต้องพูดเฉพาะในเวลาที่สมควร ถ้ายังไม่ถึงเวลาสมควรมาพูดละดีไม่ดีเป็นอวดอุตตริมนุสสธรรม ตีความหมายเป็นอย่างงั้นนะ อาตมาฟังแล้วก็สงสัย ไม่รู้ว่าพระอะไรได้ยินแต่เสียง ก็อยากจะถามท่านเสียตอนนี้เลยว่าไอ้ "เวลาสมควร" น่ะ มันตรงไหนเวลาเท่าไหร่ เมื่อไรจึงจะสมควร เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสเขาเจริญพระกรรมฐานกัน มีหลายท่านได้ทิพจักขุญาณ ไปนั่งอายเขามานี่หลายคนแล้วนะ จะบอกให้ ผู้หญิงบางทีเรียนนอกเรียนนามาตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ๗ ขวบ กว่าจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาก็ ๓๐ ปีเศษ เขาได้ทิพจักขุญาณ เขาสามารถใช้กำลังจิตรักษาโรคก็ได้ นี่อำนาจพระกรรมฐานเข้าไปถึงฆราวาสแล้วหลวงพี่ แล้วถ้าหลวงพี่ยังจะมานั่งคอยเวลา "สมควร" น่ะ นี่ถามจริงๆเถอะพ่อคุณ บวชเข้ามาเวลานี้น่ะปฎิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าการบวชจะต้องถือกฎ ๓ อย่างเป็นสำคัญ หนึ่ง อธิศีลสิกขา รักษาศีลยิ่งกว่าฆราวาส สอง อธิจิตสิกขา ทำจิตให้มั่นคงในสมาธิที่เรียกกันว่าได้ญาณ สาม อธิปัญญาสิกขา ทำจิตใจของเราให้ผ่องใสจากกิเลส ทำหรือเปล่า อันนี้ต้องทำตั้งแต่วันบวชนะ เข้าใจว่าไม่รู้เรื่องหรอกหลวงพี่องค์นั้นน่ะ นี่คงจะบวชเข้ามาแล้วก็ทำตัวเป็นฆราวาสเอาเด่น แล้วเวลาพูดก็เห็นอ้างพระอาจารย์อะไรต่อพระอาจารย์อะไร พระอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นยังเมาอยู่ในลาภยศ สรรเสริญ สุข ตามธรรมดาน่ะ พระที่บวชเข้ามาน่ะ เขาเกาะพระพุทธเจ้ากันนะ เขาไม่ได้เกาะพระที่มีกิเลส ก็หลวงพี่ไปเกาะพระที่มีกิเลสเป็นสรณะแล้วกิเลสมันจะหมดหัวได้ยังไง แสดงว่ากิเลสยังเต็มหัวอยู่ เรื่องของพระกรรมฐานเป็นเรื่องธรรมดาที่พุทธบริษัทควรรู้ ถ้าเราไม่พูดเมื่อไรเขาจะรู้ จะมานั่งหลอกลวงเขากินอยู่หรือว่าเราบวชเข้ามาแล้วน่ะดียังงั้นดียังงี้ ควรแก่การไหว้ สักการะของบรรดาพุทธบริษัท แต่ความจริงแล้วจะพูดเรื่องกรรมฐานก็บอกไม่สมควร นี่มันดีหรือหลวงพี่? จำไว้นะ จำไว้ให้ดีว่า เราบวชเข้ามาแล้วจงเอาสวรรค์ เอาพรหมโลก เอาพระนิพพานเป็นปัจจัยของเรา เอาสิ่งทั้งสามประการเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่เราจะบวช เวลานี้นักปรูดทั้งหลาย (ไม่ใช่นักปราชญ์) ตัดความสำคัญออก เมื่อก่อนนี้เวลาเขาจะบวชบอกกับอุปัชฌาย์ว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน แต่เวลานี้นักปรูดทั้งหลายตัดทิ้งไป ใช้อะไรเสียก็ไม่ทราบ ไปขึ้นเอสาหัง ก็ปรารภพระนิพพานในเบื้องต้นเหมือนกัน ในเมื่อเราบวชเข้ามาปรารภพระนิพพาน แล้วเวลาเราบวชเข้าแล้วจริงๆ เราจะมาปรารภลาภยศสรรเสริญสุขเพื่อประโยชน์อะไร เป็นอันว่าหลวงพี่เข้าใจผิดเสียแล้วนะ หลวงพี่นะ ดีไม่ดีผมจะบอกว่าหลวงพี่นั้นแหละเวลานี้กำลังใจยังทรามกว่าฆราวาสที่เป็น ผู้หญิงหลายคนที่เขาปฎิบัตตนได้ดีกว่าหลวงพี่นะ เพราะเห็นว่าควรแล้ว เวลานี้กรรมฐานตั้งสำนักกันอย่างกับดอกเห็ดมีทั่วประเทศ มีกระทั่งนอกประเทศ ถ้าเวลานี้ยังไม่สมควรพูดเรื่องกรรมฐาน เวลาไหนมันจะควร หรือว่าจะรอให้กิเลสมันเลยหัวไปสักหน่อยแล้วจึงจะควร อันนี้เราฟังกันไว้แล้วก็คิดด้วยนะ ถ้าหลวงพี่องค์นั้นรับฟังละก้อ เอาไปคิดด้วย แล้วก็จงรู้ตัวเสียด้วยว่าเราทำเราพูดน่ะมันไม่ควร

เอา ละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาตมาเป็นคนปากเสียเป็นปกติ แต่เสียแบบนี้เสียในฐานะเพื่อจะตักเตือนเพื่อนพระด้วยกัน ให้บวชให้เป็นพระ ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้ว แล้วก็จะเอาปฏิปทาอย่างอื่นมาใช้ ประเดี๋ยวจะพูดให้ฟัง เรื่องทะเลาะกับพระขอยกไป ต่อจากนี้ไปก็มาเริ่มเรื่องกันใหม่ เลิกทะเลาะกันแล้วนะ หลวงพี่องค์นั้นก็เหมือนกัน ทีหลังถ้าจะทะเลาะกับผมละก็ ฟังเรื่องต่อไปว่าท่านชอบอะไร

วันนี้ เรามาเริ่มเรื่องไตรภูมิกัน แล้วเราจะไปไหนกันก่อนล่ะ มีอบายภูมิสี่ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน นี่จัดเป็นภูมิที่หนึ่ง ภูมิที่สองก็ได้แก่สวรรค์ชั้นกามาวจรสวรรค์ ภูมิที่สามก็ได้แก่พรหม พระนิพพานยังไม่เกี่ยว สามภูมินี่เราจะไปไหนกันก่อน ขอชวนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปเที่ยวนรกกันก่อนดีกว่า

ต่อจากนี้ไป เราไปทัศนาจรนรกกัน แน่ะ พูดทันสมัยเสียด้วย ไอ้ทัศนาจรนี่น่ะมันเป็นศัพท์ภาษาบาลีแกมไทย ทัศนะ จระ จระเป็นภาษาบาลี ไทยล่อจรเข้าไป ก็เรียกว่าเที่ยวไปดูนรก ทัศนาจรแปลว่าเที่ยวดู ดูอะไร ดูนรก ตานี้เราจะไปนรก เราก็มาคิดดูว่าเราจะไปอยู่เลย หรือว่าเราจะไปเที่ยว ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความสมัครใจจะอยู่นรกขุมไหน ตามอาตมาไปแล้วก็สมัครใจอยู่ได้เลย อาตมาจะบอกปฏิปทาให้ว่าเขาบำเพ็ญบารมีอะไร จึงอยู่ขุมนรกนั้นได้ แต่ใครไม่อยากอยู่ก็ไปเที่ยวเฉยๆก็แล้วกัน เวลากลับก็กลับด้วยกัน ทีนี้เวลานำเที่ยวเวลานี้ใช้ยานอะไรเป็นพิเศษ? ไม่ยากใช้ยานห5นังสือเรียกว่าใช้ยานหนังสือเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก นี่คนชั้นดีเขาต้องทำยังงี้นะ นี่ไม่มีใครเขายกก็ยกมันเองละ ไปมัวคอยชาวบ้านยกย่องสรรเสริญ เมื่อไรเขาจะยก ก็เอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก แล้วก็เอาเรื่องที่พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ทรงฌานทรงญาณพิเศษ อย่างพระโมคคัลลาน์ไปพบเห็นมา เอามาพูดต่อ รวมกันเข้าไป ญาติโยมทั้งหลายจะได้ทราบว่าตอนนี้ ที่นี้ นรกชั้นนี้ สวรรค์ชั้นนี้ วิมานแบบนั้น เขาบำเพ็ญบารมีอะไรเข้าไว้ จึงจะได้อยู่อย่างนั้น นี่เป็นอันว่าเข้าใจ

ทีนี้ ต่อจากนี้ไป ก่อนที่จะเดินทางไปนรก เราก็มาหาทุนกันก่อน ไปไหนไม่มีทุนนั้นไม่ได้ ทุนในที่นี้ไม่ใช่เงินไม่ใช่ทอง แต่ว่าเป็นทุนการบำเพ็ญบารมี เรามาพูดกันเสียก่อนว่าบารมีที่จะทำให้คนลงนรกน่ะ มันมียังไง เขาจึงได้ลงกันได้ นรกน่ะแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือนรกขุมใหญ่ กันยมโลกียนรก แล้วก็เฉพาะนรกขุมใหญ่แต่ละขุมก็มีนรกบริวารด้านละ ๔ ขุม ๔ ด้าน เป็นอันว่านรกขุมใหญ่ ๑ ขุมมีนรกบริวาร ๑๖ ขุม แต่ว่าสัตว์นรกที่จะผ่านนรกบริวารก็ผ่านแต่เพียง ๔ ขุม เพราะออกด้านใดด้านหนึ่งก็ผ่านสี่ขุม นรกขุมใหญ่นี่เราเรียกกันว่า "นรกแป๊ะเจี๊ยะ" หมายความว่าลงโทษไม่จำกัดโทษ ไม่ใช่แยกประเภท สำหรับยมโลกียนรกนั้นแยกประเภท คือหมายความว่าถ้าคนใดทำกรรมชั่วไปลงนรกขุมใหญ่ก่อน ลงขุมนี้เวลาจะออกจากขุมนี้ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม ถ้ากรรมชั่วอย่างหนักยังไม่หมดก็ไปลงขุมโน้นต่อไป ออกจากขุมนั้นก็ผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม นรกขุมใหญ่นี้ เรียกกันว่านรกแป๊ะเจี๊ยะ ไม่จำกัดโทษ ตรงกันข้ามกับยมโลกียนรก เขาแยกโทษเข้าไว้ ทีนี้มาว่ากันไป นรกขุมใหญ่มีโทษอะไร นี่ศึกษาบารมีการลงนรกเสียก่อน คนที่จะลงนรกต้องสร้างบารมี ต้องบำเพ็ญบารมี ถ้าบารมีไม่ถึงเขาก็ขับไปสวรรค์บ้าง ขับไปพรหมโลกบ้าง ขับมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์เดียรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เห็นอสุรกายบ้าง เขาไม่ยอมให้ลง แต่ถ้าหากว่ามีบารมีสมควร เขาก็ยินดีรับเอาไว้ในนรกนี่เฉพาะนรกขุมใหญ่นะ บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟังและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จะพูดให้ฟังว่านรกขุมใหญ่มีอะไรบ้างที่เราจะได้ไปน่ะ ต้องสร้างบารมีอะไร บารมีที่จะลงนรกขุมใหญ่นั้นท่านกล่าวว่า ต้องสร้างบารมี ๑๐ อย่างครบถ้วน สุดแล้วแต่หนักเบา ถ้าสร้างเบาหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๑ หนักลงไปอีกนิดก็ลงนรกขุมที่ ๒ หนักลงไปอีกหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๓ หนักไปตามลำดับ ถ้าหนักเต็มที่ลงนรกขุมที่ ๘ เรียกว่า "อเวจีมหานรก" แล้วก็มีนรกพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหนักล้นเกินไปละก้อลงโลกันตนรกแล้วจึงจะถอยมาสู่อเวจีมหานรก บารมีที่เขาปฏิบัติ ๑๐ อย่างก็คือ กรรมบถ ๑๐ ใครไม่เคารพกรรมบถ ๑๐ ต้องลงนรกขุมใหญ่ ๑๐ หรือเรียกว่าใครไม่เคารพในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ มีโอกาสได้อยู่นรกขุมใหญ่สบายๆมีวาสนาบารมีมาก กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการมีควรเว้นมีอะไร คือ

๑. เราต้องไม่ฆ่าสัตว์ ถ้าเราฆ่าสัตว์ก็เรียกว่าเราไม่เคารพในกรรมบถข้อนี้

๒. การลักทรัพย์

๓. การประพฤติผิดในกาม ทั้งเมียเขา ทั้งลูกเขา ทั้งผัวเขา ทั้งลูกจ้างของเขา ขี้ข้าเขา ทาสเขา ทั้งนั้น จิปาถะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการไม่เคารพกรรมบถ ๑๐

๔. ไม่พูดโกหกมดเท็จ

๕. ไม่ส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน

๖. ไม่พูดคำหยาบ

๗. ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ เลอะเทอะหาประโยชน์มิได้

๘. เพ่งเล็งอยากจะลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งทรัพย์ คดโกงทรัพย์ของบุคคลอื่น

๙. จองล้างจองผลาญ ที่เรียกกันว่าความพยาบาท

๑๐. มีความเห็นไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า ไอ้ส่วนที่เลวคิดว่าดี ส่วนที่ดีคิดว่าเลว ที่พระพุทธเจ้าตักเตือนแล้วไม่เอา

นี่ การบำเพ็ญบารมีเพื่อจะอยู่นรกขุมใหญ่ บำเพ็ญกันให้ครบ ๑๐ อย่างดีไหม บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เอ๊ะ ๑๐ อย่างนี่ไม่มีน้ำเมาไว้ด้วยนะ น่ากลัวนรกขุมใหญ่นี่เขาไม่รับคนชอบดื่มเหล้า คนชอบดื่มเหล้านี่ควรจะดีใจนะ นรกขุมใหญ่เขาไม่รับแล้วมันดีไม่พอ อย่าลืมนะบรรดาท่านผู้ฟัง และญาติโยมพุทธบริษัทที่กำลังรับฟัง และพระคุณเจ้าที่เคารพ อยากจะไปนรกท่องให้ดีนะ เฉพาะนรกขุมใหญ่

๑. พยายามฆ่าสัตว์เข้า

๒. ลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งชิงทรัพย์ คดโกงทรัพย์ใครเขามาทำบุญสุนทานกันเข้ากระเป๋าไว้บ้าง

๓. ไอ้เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร เหมาะเมื่อไรว่าเมื่อนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องเลือกจะเป็นลูกใคร เมียใคร ขี้ข้าใคร คนรับใช้ใคร ลูกจ้างใคร ไม่เกี่ยว มีโอกาสจัดการเรื่อยไปแล้วผัวใครด้วยนะ

๔. เรื่องความจริงไม่ต้องพูดกัน โกหกมันดะ

๕. ยุยงส่งเสริมให้แตกร้าวกันเสีย มันสนุกดี มันทะเลาะกันได้ มันตีกันได้ มันฆ่ากันได้ เราสบายใจ

๖. เรื่องวาจาสุภาพอย่าไปพูดมัน พูดหยาบๆคายๆมึงมาพาโวย ด่าพ่อล่อแม่ใครก็ได้ตามอัธยาศัย

๗. เรื่องที่เป็นเรื่องอย่าพูด พูดมันแต่เรื่องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน

๘. ทรัพย์สินของใครมีอยู่ ถ้าชอบใจ ตั้งใจเลยว่าเราจะขโมยของเขา

๙. จองล้างจองผลาญ จ้องประหัตประหารมันเรื่อยไปไม่ว่าใคร

๑๐. คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีความหมาย เราไม่เชื่อ มาพูดอะไรกัน เรื่องสวรรค์เรื่องนรก เรื่องอะไรต่ออะไรไม่เห็นมีความหมาย เราไม่เชื่อ

เอาละ บำเพ็ญบารมี ๑๐ อย่าง อย่างนี้พอ พอที่จะลงนรกขุมใหญ่ได้แบบสบายๆพระยายมไม่รังเกียจ

ตา นี้ มานรกขุมเล็กอีก ๑๐ ขุม เรียกกันว่ายมโลกียนรก ทำรับเฉพาะ เรียกว่ารับเฉพาะ ไม่ใช่นรกแป๊ะเจี๊ยะ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๑ ได้ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๒ ได้ เขาเรียกกันว่าอะไร จะพูดบารมีให้ฟัง เวลามันใกล้จะหมด
ถ้าอยากจะอยู่นรกขุมที่ ๑ ฆ่าสัตว์ให้หนัก

อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๒ เจ้าชู้ให้หนัก

อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๓ ลักขโมยให้หนัก คดโกงเขาให้หนัก
ขุมที่ ๔ ดื่มน้ำเมาให้หนัก

ขุมที่ ๕ โกงเงินทำบุญให้หนัก ทายกกับพระนี่ ระวังนะ ระวัง ถ้าชอบใจอยู่ขุมที่ ๕ สำหรับยมโลกียนรก โกงให้หนัก

๖ เป็นข้าราชการ โกงให้หนัก

๗ เรื่องซื่อตรงไม่มีสำหรับเขา

๘ เรื่องเมตตาปรานีไม่มีสำหรับเขา

๙ ด่าดะไม่เลือกว่าใคร

๑๐ ซ้อมคู่ครองให้หนัก

นี่ เป็นบารมีสำหรับยมโลกียนรกส่วนใหญ่ คนฆ่าสัตว์แล้วก็เลยลงนรกขุมใหญ่มาก่อน พ้นจากนรกขุมใหญ่แล้วเข้านรกบริวาร ๔ ขุม แล้วจึงมาเข้าขุมที่ ๑ นี่เขามาคิดบัญชีกันต่างหากเฉพาะอย่าง สำหรับนรกขุมใหญ่น่ะ เป็นนรกแป๊ะเจี๊ยะไม่ยอมคิดบัญชีให้ เรียกว่าอะไรๆก็ไปรวมอยู่ก่อน เสร็จจากนรกขุมใหญ่ก็มาไล่เบี้ยกันทีหลังว่าแกมีโทษอะไรบ้าง ฉันจะจัดการกับแกตามโทษนั้น

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน นี่พูดไปพูดมา พูดมาพูดไป ก็เห็นว่าจะหมดเวลา ๓๐ นาทีเสียแล้วกระมัง เพราะดูเวลามันก็หมดแล้วนี่ เมื่อหมดแล้วสำหรับพุธนี้ก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ได้อารัมภบท มาบำเพ็ญบารมีลงนรกกัน เมื่อรู้บารมีแล้วก็ตั้งใจไว้จะไปนรกขุมไหน

เอาละ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาแล้ว อาตมาก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น